กลายเป็นที่ฮือฮาในโลกโซเชียล หลังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ฟาร์มไก่ บ้านทุ่ง ลงรูปภาพพร้อมแคปชั่น “กินหรือเอาไปทำอะไรดีครับ” ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะเปลี่ยนแคปชั่นใหม่เป็น “สายมูเอาไปทำไรดีครับ (ศึกษาทำความเข้าใจผ่านยูทูปได้นะครับ)” เป็นภาพของแมลง จักจั่น ที่มีบางอย่างงอกออกมาจากส่วนหัวคล้ายกับเห็ด
งานนี้เห็นทีจะรอช้าไม่ได้ ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ เตือนภัยเกี่ยวกับพืชประหลาดดังกล่าว พร้อมเฉลยว่ามันชื่อ ว่านจักจั่น เป็นเชื้อรา และไม่ใช้ของที่กินได้
เช้านี้มีการแชร์ภาพของแปลก คล้ายหนอนที่มีก้านงอกยื่นออกมา ในเพจ FB หนึ่งที่ชื่อ “หากินแบบบ้านๆ แลกเปลี่ยนวิธีการล่าทุกชนิด” โดยการตั้งคำถามว่า “กินหรือเอาไปทำอะไรดีครับ” สิ่งที่เห็นในภาพนั้นคือ “ว่านจักจั่น” ครับ มันเป็นเชื้อราชนิดหนึ่ง ที่ขึ้นอยู่ในตัวอ่อนของจั๊กจั่นที่อยู่ใต้ดิน ซึ่งไม่ควรนำมาบริโภค เพราะอาจจะรับสารพิษอันตรายได้ครับ
วานจักจั่น บางคนก็ไปขุดเก็บกันมา โดยมองว่าเป็นวัตถุมงคล ตามความเชื่อว่าเป็นว่านกึ่งพืชกึ่งสัตว์ ประเภทเดียวกับพวกมักกะลีผล มีบูชาแล้วร่ำรวย จริง ๆ แล้ว มันไม่ใช่พืช ไม่ใช่ว่าน แต่เป็นเป็นตัวอ่อนของจักจั่น ที่ตายแล้วเนื่องจากการติด “เชื้อราทำลายแมลง” ในขณะที่เป็นตัวอ่อน ช่วงที่ขึ้นจากใต้ดินมาลอกคราบเป็นตัวเต็มวัยเหนือดิน
ในระยะตัวอ่อนนี้ จักจั่นจะอ่อนแอมาก ขณะที่มีอากาศชื้นจากหน้าฝน ทำให้เชื้อราแพร่กระจายได้ดีในอากาศ เมื่อเชื้อราตกลงไปอยู่บนตัวจักจั่นที่มีภูมิต้านทานต่ำ ทำให้เชื้อราสามารถแทงเส้นใยเข้าไป และงอกในตัวจักจั่นได้ดี โดยดูดน้ำเลี้ยงในจักจั่นเป็นอาหาร และทำให้พวกมันตายในที่สุด
เมื่อจักจั่นตายแล้ว เชื้อราก็จะสร้างโครงสร้างสืบพันธุ์ ที่มีลักษณะเหมือนเขา ยืดขึ้นเหนือพื้นดิน เหมือนที่เห็นยื่นออกมาจากว่านจักจั่น โครงสร้างสืบพันธุ์นี้ จะมีสปอร์ติดอยู่บริเวณปลาย เมื่อมันยื่นขึ้นมาเหนือพื้นดิน สปอร์จะอาศัยลมหรือน้ำ ในการพัดพาให้ไปตกที่อื่น ๆ และอาจจะทำให้ตัวอ่อนของจักจั่นตัวอื่น ติดเชื้อกันต่อไป
เราเรียกเชื้อราที่มีพฤติกรรมไปอาศัยอยู่ในตัวแมลงที่มีชีวิตแบบนี้ ว่าอยู่ในประเภท “เชื้อราทำลายแมลง”
จากการศึกษาของนักวิจัยจากศูนย์ไบโอเทค สวทช. พบว่า มีราทำลายแมลง ในประเทศไทยมากกว่า 400 ชนิด โดยพบได้ทั้งบนหนอน แมลงวัน มวน เพลี้ย ผีเสื้อ ปลวก แมลงปอ แมงมุม มด เป็นต้น ซึ่งพวกเชื้อราทำลายแมลงในว่านจักจั่นนี้เอง ปรกติก็ไม่ใช่เชื้อที่มีพิษ แต่อาจจะมีราอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดพิษต่อคนที่กินเข้าไป มาเจริญเติบโตอยู่ด้วยได้
ถ้าโชคร้ายเจอสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดพิษแรง ๆ อาจสร้างสารพิษพวก tremorgenic mycotoxin ขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายมาก เพราะไม่มียาถอนพิษ ได้แต่ประคองอาการให้รอด
สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ก็ระบุว่า สำหรับประเทศไทย มีรายงานว่า ว่านจักจั่น มีความใกล้เคียงกับราชนิด Ophiocordyceps sobolifera กินแล้วคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว ชัก กล้ามเนื้อเกร็งกระตุก ดวงตาหมุนวนไปรอบ ๆ ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน อ่อนแรงใจสั่น และเวียนศรีษะ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ในประเทศเวียดนาม มีรายงานการกินว่านจักจั่นชนิด Ophiocordyceps heteropoda พบว่า ผู้ที่นำมารับประทานเกิดอาการเวียนหัว อาเจียน น้ำลายไหล ม่านตาขยาย กรามแข็ง ไม่สามารถขับปัสสาวะได้ตามปกติ ชัก เพ้อคลั่ง เกิดภาพหลอน ง่วงซึม โคม่า และอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ จากการตรวจสอบสารพิษ พบว่าเป็น ibotenic acid ซึ่งสารพิษในกลุ่มนี้มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง
ในอดีต ในปี พ.ศ. 2562 มีชาวบ้านในจังหวัดอุบลราชธานี 2 คน เก็บว่านจักจั่นมากิน แต่กินแล้วเกิดอาการเป็นพิษกะทันหัน จึงนำส่งโรงพยาบาล และในปี พ.ศ. 2559 ก็เคยมีข่าว ที่จังหวัดสกลนคร มีประชาชนในตำบลคอนสวรรค์ อำเภอวานรนิวาส เก็บมากิน แล้วได้รับพิษกระทันกัน เกิดอาการร่อแร่ เข้าโรงพยาบาลสกลนคร 2 ราย จนต้องเตือนกันว่าถ้าใครพบเห็นห้ามนำรับประทานเด็ดขาด
ส่วน ถั่งเช่า ที่เอามาเป็นยาสมุนไพรชูกำลังกันนั้น ถึงแม้ว่าจะมีจุดกำเนิดในแบบเดียวกับว่านจั๊กจั่น คือมีเชื้อราทำลายแมลง พวกราคอร์ดิเซปส์ ชนิด Ophiocordyceps sinensis (หรือชื่อเก่า Cordyceps sinensis) ลงไปเจริญเติบโตตัวอ่อนของหนอนผีเสื้อ แต่มันเป็นเชื้อราชนิดที่ไม่ได้เป็นพิษ จึงนำมากินได้ครับ”
ขอบคุณข้อมูลและเรียบเรียงโดย อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์